เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ พ.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้สงสัยต้องพูดเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง มันไม่ควรจะพูดเรื่องส่วนตัวเนาะ เทศน์ธรรมะมันก็ต้องเป็นสาธารณะ วันนี้ขอพูดเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง

เราจะขอร้องโยมเนาะ ไอ้โตนี่มันไปนิมนต์มาตั้งแต่ปี ๓๐ มันอยู่กับเรามาเกือบ ๒๐ กว่าปีแล้ว เวลาตอนเราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะใช่ไหม เราอยู่กับหลวงตา แล้วเรามาอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะปี ๒๗ แล้วพอเสร็จแล้วเราก็ออกมาเที่ยว ไอ้โตกับพวกโพธารามเอารถเก๋ง ๓ คัน รถตู้คันหนึ่งไปนิมนต์เรามาจากวัดหลวงปู่เจี๊ยะ เอามาอยู่โพธาราม

นี่มันอยู่กับเรามา ๒๐-๓๐ ปีแล้ว ๒๐-๓๐ ปี วัดที่เกิดขึ้นมา ๗-๘ วัด ถ้าไม่มีไอ้โตนี่ไม่มีวัดหรอก เพราะวัดที่โพธารามนี่นะสร้างขึ้นมายากมาก มันมีแต่คนเอามาแล้ว แล้วไม่ได้ดั่งใจเขา เขาก็ทิ่มแทง ทำลายทั้งหมด ไอ้โตนี่มันเป็นคนค้ำไว้ แล้วมันจะสร้างวัดที่โพธาราม เขาก็บอกว่าไม่ให้สร้าง ทางกฎหมายเขาสร้างไม่ได้ ทางประชาชนก็ไม่ให้สร้าง เพราะเขาบอกว่าไปรบกวน ไปทำลายความสงบของเขา พวกเราทำกันมาด้วยกำลังของเราเอง

ฉะนั้น เวลามันคุ้นเคย เวลาบอกว่าไอ้คนที่อยู่กันมา ๒๐-๓๐ ปี มันก็ต้องสนิทกัน พอมันสนิทกัน มันมีอะไรผิดพลาดมันก็พูดกันด้วยความตรงไปตรงมา ทีนี้การตรงไปตรงมา เวลาคนไปเอาอะไรมาเขาก็จะมาฝากๆ ด้วยความเกรงใจ เห็นไหม ด้วยความเกรงใจนะ โยมคิดดูสิคนทั้งศาลารอคนอยู่คนเดียว แล้วคนๆ นั้นทำอย่างนั้นบ่อยๆ คนทั้งศาลากับคนๆ เดียว ใครจะมีค่ามากกว่ากัน

ฉะนั้น เวลาใครฝากอะไรมา มันก็ไปห่วงเขา ก็ละล้าละลัง คนๆ เดียวนะ แต่ทำให้ประชาชนทั้งหมดต้องรอคนๆ นั้น เราอยู่ที่บ้านตาดนะ กุฏิตู้เย็น..กุฏิตู้เย็น.. นี่กุฏิหน้าวัด หน้าวัดมันมีอยู่กุฏิหนึ่ง หลวงตาเรียกว่ากุฏิตู้เย็น มันมีโยมคนหนึ่ง จะมาทำบุญนะช้าทุกวัน เขาตักบาตรเสร็จแล้ว เขาปิดแล้วค่อยมาทุกวัน หลวงตาพยายามเอาเขาให้ได้ ปล้ำเขาให้ได้ จะให้เขาแอคทีฟขึ้นมา ให้เขามาทันคนอื่น เขาก็ไม่ทัน จนหลวงตาตั้งชื่อว่า “ตู้เย็น” คือมันเย็นเกินไป เย็นจนเขาเสร็จแล้วมันยังไม่มาเลย

นี่เวลาเอาคน เห็นไหม ตั้งชื่อว่า “ตู้เย็น” แล้วหลวงตาท่านบอกว่า “วัดนี่นะ มันเป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นสมบัติสาธารณะ ท่านเปรียบเหมือนหนองน้ำ ถ้าหนองน้ำนี่น้ำสะอาดบริสุทธิ์ ทุกคนก็มาใช้ดื่มกินได้ด้วยสะดวกสบาย ถ้าหนองน้ำนั้นมีแต่มูตร แต่คูถ คือมีแต่ขี้วัว ขี้ควายในหนองนั้นเต็มไปหมด ใครก็ไม่อยากมาดื่มมากิน

ในข้อวัตรปฏิบัติของวัด มันก็เหมือนกับกติกาเพื่อให้น้ำนั้นใสสะอาด ถ้าน้ำนั้นใสสะอาด ใครมาแล้ว ใครๆ ก็ได้ดื่มกินน้ำนั้นด้วยความสบายใจ แต่ถ้าเรามาทำอะไรกันโดยเอาแต่ใจๆ มันก็มูตร คูถ คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ก็มาทำกัน เหยียบย่ำกัน ทำลายกัน ให้บ่อน้ำนั้น ให้สระน้ำนั้นมันสกปรกโสโครกไป

ฉะนั้น ใครทำสิ่งใด ก็เหมือนกับเอาขี้ เอาต่างๆ มาทิ้งในบ่อน้ำนั้น แล้วเราก็ปรารถนาอยากจะได้บ่อน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์อยู่ทุกๆ คน แต่เวลาเรากระทำ เราก็เอาแต่ขี้มาใส่ในบ่อน้ำนั้น นี่การกระทำของเรากับความจริง มันแตกต่างกันไหม ถ้ามันแตกต่างกัน มันไม่ได้ดั่งใจ

บอกว่าหนังสือนี่เราชมๆ เราชมจริงๆ นะ แต่เราชมแล้วนี่ เห็นไหม เขาให้มาไม่กี่ห่อ เราก็กระเหม็ดกระแหม่นะ แจกเฉพาะคนของเรา เราคิดว่าแค่นั้นจบไง แค่นั้นจบเพราะเราไม่ยืดเยื้อ

“รักยาวให้ตัด รักสั้นให้ต่อ”

รักยาว เราจะอยู่กันยืนยาว มันไม่ควรคลุกคลี รักยาวให้ตัด คือตัดแล้วมันไม่มั่วกัน มันไม่มีอะไรขัดแย้งกัน.. รักสั้นให้ต่อ ให้ต่อกันไว้ ให้ฝากกันไว้ ฝากกันไว้เยอะๆ แล้วเดี๋ยวเราได้ทะเลาะกัน รักสั้นให้ต่อ ให้เกาะ ให้เกี่ยว ให้มีปัญหากันไป มันยาวไม่ได้หรอก

รักยาวให้ตัด รักยาวนะ เราอยู่ด้วยคุณงามความดี เราอยู่ด้วยความคิดถึงกัน เขาบอกว่าเพื่อนฝูงนะ เราไปมาหาสู่กัน มันสนิทยิ่งกว่าญาติอีก ญาติโดยสายเลือด ไม่เคยไปดูแลกัน ไม่เคยไปหากัน ไม่เคยต่างๆ เราเป็นญาติกันโดยธรรม ถ้าเป็นญาติกันโดยธรรมนะ ความรู้สึกนึกคิด ความคิดถึงกัน เจตนาถึงกัน อันนี้ประเสริฐที่สุด

ฉะนั้น เราอย่าไปห่วงของที่เป็นวัตถุ ของที่เป็นวัตถุ นี่มันเป็นวัตถุ เห็นไหม เราต้องเคลื่อนย้ายมัน ต้องเอามันไปเอามันมา มันเป็นประเด็น แต่ถ้าเราคิดถึงกัน ใจเราเป็นธรรมนะ เราอยู่ที่ไหนมันไม่ไปเดือดร้อนใครเลย มันคิดถึงกัน มันอยู่กันนะ ดูสิเวลาเราคิดถึงครูบาอาจารย์เรา เราก็สบายใจ แต่นี้นู่นก็ฝากกันไป ฝากกันมา เราจะบอกว่าถ้าฝากกันไป มันก็จะต้องร้องไห้อย่างนี้ไปทุกวัน

มันด้วยความเกรงใจไง คนไม่กล้าพูดไง แต่สำหรับเรานะ เพราะโยมเกเฮงแกเป็นไวยาวัจกรวัดโชค ได้รับการแต่งตั้งจากทางจังหวัดเลย นี่แกเห็นเราอยู่นะ แกถามเลยบอก “หลวงพ่อ คำที่พูดยากที่สุดคือคำว่าไม่เอา แต่ทำไมเห็นหลวงพ่อไม่เอาๆ ไม่เอาตลอดเลย”

เขาบอกว่าในโลกนี้นะคำที่พูดยากที่สุดคือ “ไม่เอา” มีแต่คนจะเอา ใครๆ ก็จะเอาทั้งนั้นแหละ แต่ไม่เอานี่พูดยากมาก แล้วไม่เอานี่เราพูดมาแต่ไหนแต่ไร เพราะเราไม่เอา ไม่เอา เวลาจะสร้างวัดที่โพธาราม ไอ้โตมันพูดเองบอกนี่มันสร้างกันอย่างไร ไม่มีใครสร้างเลย เราบอกนี่กูจะอยู่โคนไม้ กูจะมุงจาก ไม่สน! ไม่สนหรอก เราจะอยู่อย่างไรก็อยู่ได้

เวลาหลวงตาท่านพูด เราทำคุณงามความดี ท่านบอกเลยนะ พระที่อยู่ในศีลในธรรม ถ้าองค์ไหนอดตายนี่อยากเห็น ท่านบอกเลย หลวงตาท่านพูดประจำ “ถ้าพระที่อยู่ในศีลในธรรม ถ้ามันจะอดตายนะ ขอเห็นซักที ขอดู ขอดู” หลวงตาท่านยืนยันขนาดนี้นะ ถ้าพระอยู่ในศีลในธรรม ถ้ามันจะอดตายนะ ขอดูพระองค์นั้นหน่อยหนึ่ง อยากดูพระที่ทำดีแล้วอดตาย มันไม่มีหรอก

ฉะนั้น กรณีอย่างนี้เราไม่ใช่ว่ากลัวอดเป็นอดตาย ไม่กลัวอะไรหรอก แต่นี้เราพูดอย่างนี้นะ วันนี้เราจะขอพูดเรื่องส่วนตัวเพราะอะไรรู้ไหม เพราะหัวใจของเรากับหัวใจไอ้โตมันไม่เหมือนกัน หัวใจของเรานี่นะเราคิดว่าเราปฏิบัติมา เราปฏิบัติมา เราเหยียบย่ำอะไรมา อย่างโยมนี่นะเหยียบย่ำแร่ธาตุ ในแผ่นดินมันมีเงินมีทอง เราเหยียบย่ำมัน เราไม่รู้เลยนะ

ถ้าคนเขาอยากได้เงินได้ทองเขาต้องทำเหมือง เขาต้องขุดลงไป กว่าเขาจะได้แร่ทองคำขึ้นมา เพื่อมาหลอมเป็นทองคำ เขาต้องลงทุนลงแรงขนาดไหน นี่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราอยากได้ศีล สมาธิ ปัญญา เราลงทุนลงแรงมาขนาดไหน เราไม่ใช่คนเก็บเศษตกจากถนน นี่เห็นเงินเห็นทองตกอยู่แล้วเก็บเอา มันไม่ใช่หรอก เราทำเหมือง เราต้องขุดมานะ

ทีนี้หัวใจอย่างเรา เราได้ทำเหมืองมา เราได้ทุกข์ลำบากมา เราได้ยากแค้นมาขนาดไหน เรารู้ว่าการปฏิบัติมันยากแค้นแค่ใด.. การปฏิบัติ มันทุกข์ยากขนาดไหน มันถึงได้ความจริงมา แล้วถ้าเราอ่อนแอ เราไม่เข้มแข็ง เราไม่ทำจริงทำจัง เราขุดเหมืองเราก็เหยาะๆ แหยะๆ เราทำอะไรเราก็ทำแต่เอาแต่ใจ มันจะได้ทองคำนั้นมาไหม นี่หัวใจของเรา เพราะเราได้ปฏิบัติมา

แต่หัวใจไอ้โตกับหัวใจเรามันไม่เหมือนกันก็ตรงนี้ไง หัวใจของเขา เขาไม่ได้ปฏิบัติมา เขาไม่ได้ทำเหมืองมา เขาอยู่แต่ในสังคมมา เขาก็เกรงอกเกรงใจไง เกรงอกเกรงใจ เกรงคนนู้น เกรงคนนี้ ใครมาก็รับเขามา รับเขามาแล้วก็มากลัวโดนด่า รับเขามาแล้วก็ไม่กล้าเอามาให้ รับเขามาแล้วก็เอาไปซ่อนไว้ก่อน รอเราอารมณ์ดีๆ ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันว่าเขาเอามาให้แล้ว

นี่หัวใจมันไม่เหมือนกัน ใครฝากอะไรมานะ รับเขามา พอรับเขามาแล้วก็ไม่กล้าเอามาให้ ไม่กล้าเอามาให้ก็ไปซ่อนไว้ก่อนนะ รอให้อารมณ์ดีๆ วันไหนอารมณ์ดีๆ ก็แผล่มออกมาหน่อยหนึ่ง นี่เขาฝากไอ้นี่มาแล้ว เขาฝากไอ้นี่มาแล้ว

นี่ไง หัวใจมันไม่เหมือนกันใช่ไหม ถ้าหัวใจเราเหมือนกันนะ เราก็บอกว่าสิ่งที่เป็นน้ำใจนี่นะ เขามีน้ำใจ เขามีค่าน้ำใจ เขาทำสิ่งที่เป็นความดีก็เป็นความดีแล้วแหละ ไอ้วัตถุเอามานี่โดนด่าเด็ดขาดเลย เอากลับไปเถอะ ไม่ต้องเอามาหรอก เพราะอะไร เพราะเราอ่อนแอกันเอง เห็นไหม ดูสิเวลาพระปฏิบัติเราก็ไปสงสาร

เราเห็นใจโยมนะ นี่โยมกว่าจะออกจากบ้านมา โอ้โฮ.. ไปซื้ออาหารมา ทำมาอย่างดีเลย พอมาถึงวัดนะตักใส่บาตร ตักใส่บาตร อู๋ย.. ของก็ดีๆ ขนาดนี้ ทำไมไม่เอาไว้ทำกิน เห็นไหม นี่ถ้าพูดถึงใจของพระนะ ถ้าอ่อนแอใช่ไหม พออ่อนแอนี่โยมเขาก็เสียใจใช่ไหม พอโยมเสียใจก็ต้องตามใจโยมใช่ไหม พอตามใจโยมไป ตามใจโยมมานะ เดี๋ยวพระองค์นั้นก็เสียไป

มันเสียไปไง เสียไปเพราะอะไรล่ะ เพราะว่าความดีมันคนละชั้นกัน ความดีของทาน เราอยากจะเสียสละใช่ไหม เราพยายามขวนขวายของเรา เราก็ว่าของเรานี่ ทานของเราเลิศ ถ้าทานของเราเลิศแล้ว ทำไมพระท่านเอาไปใส่บาตรมั่วกันไปหมดเลย ทานของเราเลิศๆ มันเลยกลายเป็นไม่เลิศไปเลย

ฉะนั้น พระนี่นะพอเขาฉัน พระฉันอาหารด้วยการดำรงชีวิต พระไม่ได้ฉันอาหารมาเพื่อกาม เพื่อเกรียติ เพื่อศักดิ์ศรี ฉันเพื่อดำรงชีวิต แล้วถ้าพระที่ต่ำต้อย ก็เห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่อาหารนั้น พอเห็นแก่อาหารนั้น จิตใจมันก็ต่ำไหม จิตใจต่ำลงหรือยัง ถ้าจิตใจต่ำลงแล้วนะ พอฉันเสร็จแล้วนะ เพราะเห็นแก่ปากแก่ท้องใช่ไหม นู่นก็ดี นี่ก็ดี เสร็จแล้วนะ พอโยมกลับไปแล้วนะ จะนั่งภาวนาแล้วนี่หัวทิ่มดิน

อ้าว.. เมื่อกี้เอาใจเขาอยู่ พอเขากลับไปแล้วนี่นะ เพราะเราเอาใจเขา พอเขากลับไปแล้วนะใจเราก็ขาด พอใจเราขาด เราภาวนาไปไม่ไหว ทีนี้พอภาวนาไม่ไหวก็เอาเลยนะ โยม พรุ่งนี้ขออาหารให้ดีกว่านี้อีกนะ จะได้คิดถึงเขาอีกไง คิดไปคิดมานะ พระองค์นั้นจะสมบุกสมบันเอาใจนั้นรอดอย่างไร ใจนั้นจะรอดไปได้อย่างไร

เราจะบอกว่าความดีมันมีหลายชั้น ความดีของทาน ความดีของศีล ความดีของการภาวนา แล้วเราก็อยากได้การภาวนา ถ้าเราอยากได้การภาวนา ถ้าเรายังไม่เข้าใจนะ เราตั้งสติไว้ แล้วนึกพิจารณาเอา พิจารณาต่อไปเรื่อยๆ พอซึ้งใจนะ..

เราอยู่บ้านตาด มีพวกโยมบ่นบ่อยมากเลย สมัยเราอยู่บ้านตาดนะ มันมีพระใช่ไหม พระเรานี่จะมีถาดอยู่ข้างหน้า แล้วเวลามานี่นะของมันเยอะมาก ทีนี้ของเยอะมากนี่เป็นประโยชน์ของเขาใช่ไหม เขาก็ต้องใส่บาตรใช่ไหม ก็เอามาใส่บาตรจนเต็ม พอเต็มแล้วก็ยังใส่ถาดไว้ เขาไปตินะ เวลาเขาเห็นแล้ว เขาไปหลังศาลาก็ไปติกัน

“โฮ้.. พระบ้านตาดนี่โลภมาก อู้ฮู.. เอาเต็มบาตรเลย เอาจนล้นถาดเลย อู๋ย.. เอาเต็มไปหมดเลย มันจะกินหมดได้อย่างไร”

นี่เขาไปติของเขานะ แต่เขาไม่ได้คิดเลย พระเวลาฉันนะเขาปฏิสังขาโย เขาฉันแต่พอดำรงชีวิตของเขา แล้วเราก็ถามเขานะ บางทีเราถามเขา

“เอาอย่างนี้ไหม ต่อไปของโยมทุกคนนี่ตัดหมดเลย เว้นไว้แต่ของโยม ของโยมไม่ตักให้โยมเอากลับไป”

“ไม่ได้ ไม่ได้ เขาจะมาทำบุญ”

แล้วมาทำบุญนี่ มาตักของเอ็งอยู่ครึ่งวัน เย็นก็ยังไม่จบ ฉะนั้น ถ้าเย็นยังไม่จบนะ เอ็งประเคนมาๆ พอประเคนมาพระก็ใส่บาตรๆ ไป มันไปร่นเวลาให้พระได้ฉันเพื่อปฏิสังขาโย แล้วได้ประพฤติปฏิบัติต่อ

มันเป็นภาระที่โยมนั่นแหละ! มันเป็นภาระที่โยมเอาอาหารไปวัดป่าบ้านตาดนั่นแหละ แล้วจะบริหารอย่างไร ให้อาหารที่เอาไปวัดบ้านตาดนั้นได้ใส่บาตรพระให้หมดไป ในเวลาอันกระชับ แล้วเวลากระชับแล้ว พระได้ฉันแล้วโยมก็ได้กินข้าว แล้วโยมก็ได้ปฏิบัติ โยมได้ฟังธรรม แล้วโยมได้ทำต่อไป

เขาบอกว่า “อู้ฮู.. พระบ้านตาดนะ หลวงตาท่านเคร่งครัดเนาะ อู้ฮู.. ทำไมพระขี้โลภขนาดนั้นเนาะ ใส่บาตรจนเต็มบาตรก็ยังไม่พอ ยังมีถาดหน้าอีกคนละ ๒ ถาด ๓ ถาด”

บางวัน ๓ ถาด ถ้าวันไหนวันเสาร์ อาทิตย์ ตรงกับวันพระนะ วันนั้นต้อง ๓ ถาด ถ้าไม่ ๓ ถาด อาหารมันแจกไม่หมดไง อาหารมันหมดไป ๑ ใน ๔ นะ เต็มถาดหมดแล้ว ยังเหลืออีก ๓ ส่วน แล้วมันเหลืออีก ๓ ส่วนนั้นจะทำอย่างไรต่อไป ให้โยมเอากลับไหม โยมก็เอากลับไม่ได้ พอโยมเอากลับไม่ได้ ก็เอามาแจกพระให้หมดไป พอแจกพระหมดไปแล้วอาหารนั้นโยมก็เอาไปทานกันต่อ แล้วพระฉันอาหารโดยปฏิสังขาโย ปฏิสังขาโยคือพิจารณาโดยชอบแล้ว ฉันพอดำรงชีวิต ที่เหลือนั้นก็เอากลับมาเป็นของโยมอย่างเก่านั่นแหละ

พระฉันอาหารก็พอแค่ปากท้อง เสร็จแล้วอาหารนั้นก็เอากลับมาที่โยมหมด แต่มันเป็นกิจกรรม มันเป็นเรื่องของทาน มันเป็นเรื่องของประเพณี จะต้องให้สิ่งนี้จบไปได้.. เรายังชมว่าหลวงตาเรานี่เป็นผู้ที่มีปัญญา เป็นผู้ที่มีหลักเกณฑ์ จะรักษาพระด้วย คือพระนี่ดำรงชีวิตด้วยปลีแข้ง พระดำรงชีวิตด้วยญาติโยม ทีนี้พระดำรงชีวิตด้วยญาติโยม โยมเขามีศรัทธา มีความเชื่อของเขา แล้วจะทำอย่างไรให้กิจกรรมนี้ ให้วันนี้ผ่านพ้นไป พระจะได้มีเวลาไปประพฤติปฏิบัติต่อ

ไม่ใช่มาพะเน้าพะนอกันนะ โอ๋ย.. มาถึง อาหารครึ่งศาลาใช่ไหม ก็จัดกันเย็นนี้ ไปฉันกันตอนทุ่มหนึ่ง ทุ่มเสร็จแล้ว ตี ๒ ค่อยไปภาวนา โอ๋ย.. โยมก็ดี พระก็ดี พระก็ดีเนาะ พระเขาเห็นแก่ทานอันเลิศของเรา ท่านจัดของเราอย่างดีเลยเนาะ ฉันยันเที่ยงคืนเลย พรุ่งนี้เช้าก็ยังจะหัวปักหัวปำกันอยู่

แต่พอท่านมาทำกระชับขึ้น ทำให้รวดเร็วขึ้น ทำให้ดีขึ้น เพื่อให้โยมก็ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม แล้วโยมก็ได้ปฏิบัติ พระได้ฉันโดยปฏิสังขาโย แล้วพระก็ได้ปฏิบัติต่อ คนที่ใจมันต่ำ ใจมันยังไม่ถึง นี่ความดีคนละชั้นนะ อู้ฮู.. พระขี้โลภ แหม.. เอามาก เอาเยอะเอาแยะ.. เอามากมันก็กินไม่หมดหรอก เอามากก็กลับมาเป็นของเราอย่างเก่านั่นแหละ แต่ถ้าไม่เอามากนะ ไม่ให้มันเสร็จสิ้นไปนะ เที่ยงก็ไม่เสร็จ นี่เวลาจิตใจของคนมันไม่ถึง มันเป็นอย่างนั้น

เวลาเราบอกว่า “ใจเรากับใจไอ้โตมันคนละหัวใจ” ฉะนั้น พอหัวใจอย่างมัน มันก็ทุกข์ก็ยากของมันนะ คนนู้นก็ฝาก คนนี้ก็ฝากนะ พอฝากเสร็จแล้วมันก็ไปนั่งหัวปักหัวปำเพราะทุกข์ไง โดนด่าเด็ดขาด! เอาของเขามาก็โดนด่าอยู่แล้ว เพราะเราต้องการนะ เราต้องการให้คนนี่ใจพัฒนาขึ้น.. บอกตรงๆ เลยนะ เราเสียใจว่าเราเอาแม่เราไม่ทัน เห็นไหม เราเอาแม่เราไม่ทัน แล้วเราจะเอาแม่มาไว้ที่นี่ แม่เราเสียไปแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน เอ็งจะมาดักดานอยู่อย่างนี้หรือ เอ็งจะไม่ภาวนาหรือ เอ็งจะเป็นไปรษณีย์อยู่อย่างนี้หรือ เอ็งจะไม่ปฏิบัติของเอ็งเลยหรือ เอ็งไม่รู้จักหัวใจเอ็งเลยหรือ แล้วเอ็งสร้างวัดมา สร้างพระมา สร้างคนมาทำไม แล้วเอ็งจะมาดักดานอยู่อย่างนี้ใช่ไหม ทำไมเอ็งไม่โตขึ้นเลย ก็ยังจะเป็นไปรษณีย์อยู่อย่างนี้ จะรับฝากเขาอยู่อย่างนี้

ไอ้ที่ชมนี่ชมเด็ดขาด แต่ชมแล้วเราก็จบไง “รักยาวให้ตัด” เพราะเราไม่คิดว่าเขาจะไปเอามากันมากมายอย่างนี้ไง เราก็คิดว่าเรามีแค่นี้แหละ เมื่อก่อนมีอยู่ ๒ ห่อ จะแจกใครก็หวงนะ แจกคนละเล่ม ให้กลุ่มหนึ่งก็ได้เล่มเดียว ให้เขาได้เห็นว่า จิตใจของคนที่เป็นสาธารณะ เขาเป็นโยม เขายังทำหนังสือหลวงตาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่มีชื่อเสียง ศักยภาพอะไรเข้าไปแอบแฝง

พวกเราเป็นพระ พวกเราเป็นพวกลูกศิษย์กรรมฐาน พวกเราเป็นคนชำระกิเลส ทำอะไรก็มีแต่ดินพอกหางหมู เอากิเลสสะสมหัวใจไว้ตลอด แล้วก็บอกว่า “เป็นธรรม เป็นธรรม” คนข้างนอกเขาเป็นฆราวาส เขามีอาชีพเป็นโรงพิมพ์ เขาหากินนี่ เขายังทำให้ของเราสะอาดบริสุทธิ์ขนาดนี้ เราถึงชมความสะอาดบริสุทธิ์นี้ แต่ไม่ได้ชมเนื้อธรรม เพราะคำว่าเนื้อธรรมเขาก็คัดลอกจากหลวงตามา

เนื้อธรรมนี่ ถ้าคนใจไม่มีวุฒิภาวะ มันไม่รู้อะไรสูงอะไรต่ำ ธรรมก็คือธรรมนั่นแหละ เห็นไหม ดูสิ “มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด” เขายังถามเมื่อวานนี่คืออะไร มรรคหยาบเป็นอย่างไร มรรคละเอียดเป็นอย่างไร แล้วโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรคเป็นอย่างไร อรหัตตมรรคเป็นอย่างไร แล้วมรรคอย่างไรมันเป็นความจริงขึ้นมา เขาก็รู้ไม่ได้ เขารู้ไม่ได้หรอก

ทีนี้เขารู้ไม่ได้ แต่เราชมน้ำใจที่ความสะอาดบริสุทธิ์ ชอบใจว่าเจตนาเขาสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้นเอง แล้วเราทำแล้วก็มานี่ ทำไมเจตนาบริสุทธิ์แล้วก็ต้องเอาธูปเทียนไปกราบเขาที่บ้านเขาอีกหรือ จะต้องไปหาเขาที่บ้านเขาอีกหรือ มันก็ไม่ใช่!

เราอยู่ด้วยกัน.. นี่พูดนะ วันนี้ขอพูดเรื่องส่วนตัว แล้วก็เอวัง